Saturday, January 16, 2016

ทะเล La Paz - Hidden Gem ของเม็กซิโก

เมื่อกล่าวถึงทะเลในเม็กซิโก หลายคนก็คงนึกถึงเมืองชายหาดแคนคูนที่โด่งดัง ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน น้ำสีฟ้าใส ไร้คลื่น ประหนึ่งลงไปว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำอย่างใดอย่างนั้น

แต่วันนี้จ๋าขอมานำเสนอ hidden gem ใหม่ของเม็กซิโก ที่น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยไป เผื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักผจญภัยทีถือคติ "ขอไปสุดขอบโลกหล้าฟ้าเขียว" (แต่ ฟ้าที่เมือง La Paz ก็ยังเป็นสีฟ้า ไม่ใช่สีเขียวอยู่ดีนะ)

....หากใครมีเวลาไม่มาก จะไปดูวีดีโอ La Paz ของพวกเราก็ได้น้าที่ลิ้งค์ https://www.youtube.com/watch?v=joGdlcSaPRA  (ต้องเปิดจากเครื่องคอมพ์เท่านั้น มือถืออาจเปิดไม่ได้ เพราะติดลิขสิทธิ์เพลง ดู 1 นาทีครึ่ง ก็จะตกหลุมรัก La Paz กันเลยล่ะ)...

เมือง La Paz ตั้งอยู่เกือบสุดปลายติ่งของคาบสมุทรบาฮาแคลิฟอร์เนีย (Baja California) ลองกางแผนที่ดูกัน เริ่มจากมองไปที่รัฐ California ของสหรัฐฯ แล้วทางใต้สุดของรัฐ ก็จะเห็นว่ามีติ่งยื่นออกมา และส่วนติ่งนี้ก็เป็นดินแดนของเม็กซิโก ที่แบ่งเป็น 2 รัฐ เรียกว่า "Baja California" (แปลว่า แคลิฟอร์เนียใต้) และ "Baja California Sur" (แปลว่า แคลิฟอร์เนียใต้ของใต้)  ที่เป็นชื่อ California เหมือนกัน ก็เพราะสมัยก่อน รัฐ California ของสหรัฐฯ ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก เรียกว่า "Alta California" หรือแคลิฟอร์เนียเหนือ เมื่อปี 1848 เม็กซิโกพ่ายแพ้สงครามต่อสหรัฐฯ ทำให้ต้องเสียพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไป (เอง!)

Cr: www.welt-atlas.de

คาบสมุทรบาฮาแคลิฟอร์เนียถูกขนาบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตก และทะเลคอร์เทซ (Cortez) ทางตะวันออก ซึ่งเมือง La Paz ก็ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลคอร์เทซ และทะเลคอร์เทซก็คือความมหัศจรรย์ของภาคเหนือของเม็กซิโก

ทะเลคอร์เทซเป็นทะเล (เกือบ) ปิดคล้ายทะเลแคริบเบียน  มีชายหาดโค้งว้าวสวยงามหลายแห่ง  และคลื่นก็ไม่สูงน่ากลัวเหมือนกับทางชายฝั่งแปซิฟิก  น้ำทะเลคอร์เทซจะเป็นสีน้ำเงินเข้มกว่าทะเลแคริบเบียน  เป็นเฉดสีน้ำเงินที่ไม่เคยเห็นที่ทะเลที่เมืองไทย




ความแปลกอีกอย่างของสถานที่แห่งนี้ คือ มีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายมาจรดทะเล จึงมีต้นกระบองเพชรขึ้นอยู่ตามภูเขา ตลอดเส้นทางที่เราขับรถจากเมือง La Paz ไปที่ชายหาดเลย  ทำให้ได้เห็นภาพของเม็กซิโกตามจินตนาการที่หลายคนมีเกี่ยวกับเม็กซิโกอยู่ คือทะเลทรายและต้นกระบองเพชร  แต่สภาพภูมิประเทศก็ดูเป็นสีเขียวจากต้นกระบองเพชรที่ขึ้นอย่างหนาแน่นและต้นไม้อื่นๆ อีก ทำให้ไม่ได้ดูแห้งแล้งอย่างที่คิด  (และไม่ได้มีหนุ่มเม็กซิกันใส่หมวกสัปปะหงกอยู่ใต้ต้นกระบองเพชรนะจ้ะ  อันนี้ก็เป็นอีก stereotype หนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมแม้แต่ร้านขายของที่ระลึกในเม็กซิโกก็ชอบทำรูปตาหนุ่มใส่หมวกนั่งหลับใต้ต้นกระบองเพชรนี้ออกมาขาย ไม่รู้เราคิดมากไปเองหรือป่าว ว่า มันเหมือนทำให้นักท่องเที่ยวคิดว่าคนเม็กซิกันขี้เกียจ  ทั้งๆ ที่จริง เราว่า คนเม็กซิกันไม่ขี้เกียจเลย ขยันซะด้วยซ้ำ แต่บางทีก็เหมือนมีโอกาสน้อยในชีวิต เพราะความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่นี่สูงมากๆ)


เมื่อปีที่แล้ว คือปี 2558 พวกเราติดใจ La Paz มาก ถึงขนาดไปสองครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน และครั้งที่สองในเดือนตุลาคม  ในการไปเที่ยวครั้งแรก  เพื่อนร่วมแก๊งค์ทัวร์ผู้ช่ำชองในยุทธจักรการท่องเที่ยวลาตินอเมริกาไปได้เพื่อนผ่านทางเว็บไซต์ Couchsurfing เธอชื่อ Maritza และได้เสนอที่จะพาพวกเราเที่ยวที่เมือง La Paz ซึ่งเธออาศัยและเรียนอยู่ในคณะชีววิทยาทางทะเล  Maritza ได้กลายเป็นเหมือนนางฟ้าที่มาโปรดพวกเราจากท้องทะเล  เธอรู้ทุกอย่างตั้งแต่ทัวร์ราคาถูกและดี  เธออธิบายความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิงโตทะเลและปลาฉลามวาฬ  เธอพาพวกเราว่ายน้ำไปดูสิงโตทะเล  เธอพาพวกเราไปกิน Burritos อร่อยและถูก เธอพาพวกเราเดินไปนั่งปิคนิคกินไก่ย่างกันบนหน้าผาริมชายหาด Cabo Plumo สถานที่ซึ่งมีแค่เรากับเรา (โรแมนติกหมู่ 5 คน) และวิวที่แม้แต่โรงแรมห้าดาวที่แพงที่สุดในโลกก็คงยังไม่สวยเท่า  และในครั้งที่สอง ที่พวกเราไปเยี่ยม Maritza เธอก็พาเราไปนอนแคมปิ้งชายหาดที่มีแค่เรากับเราอีกแล้ว (คราวนี้โรแมนติก 3) นอนดูทางช้างเผือกที่ชัดมากๆ  ลงไปแหวกน้ำดูแพลงตอนเรืองแสงตอนตีสี่  เรียนวิชาลูกเสือในการกางเต๊นท์และจุดไฟย่างเนื้อบาร์บีคิว



Maritza เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปลาฉลามวาฬ  และแน่นอนเธอก็พาพวกเราไปว่ายน้ำดูฉลามวาฬ  ซึ่งในวันนั้น ทุกคนบอกว่า พวกเราโชคดีมากที่ได้เห็นปลาฉลามวาฬในท่าตั้งตัวในแนวตรงเพื่อหยุดกินแพลงตอนถึงสองตัวในเวลาเดียวกัน และมันก็อยู่ในท่านั้นนานมากๆ แบบไม่ขยับเลย  มีแต่ปากอันแสนกว้างของมันที่อ้าอยู่เพื่อดูดแพลงตอนเข้าไป   พวกเราต้องพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะว่ายหลบไปหลบมา เพื่อไม่ให้ตัวไปโดนเจ้ายักษ์ใหญ่ของมหาสมุทรที่ใจดี (หรือไร้อารมณ์มากๆ) เพราะการที่ตัวเราไปสัมผัสกับฉลามวาฬอาจทำให้มันตกใจและว่ายหนีไปได้   Maritza บอกว่า  โดยปกติแล้ว ปลาฉลามวาฬจะว่ายไปกินแพลงตอนไป  เพราะฉะนั้น นักท่องเที่ยวเมื่อกระโดดลงน้ำแล้ว ก็จะต้องรีบว่ายสุดชีวิต เพื่อตามปลาฉลามวาฬให้ทันเพื่อจะได้เห็นเจ้ายักษ์ใหญ่นี้แม้เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะว่ายน้ำต่อไปและเราก็ว่ายตามมันไม่ทันแล้ว  เจ้าปลาฉลามวาฬจะไม่เห็นและไม่สนใจเราเลย  มันเป็นปลาตระกูลฉลามที่ตัวใหญ่เหมือนปลาวาฬ  แต่ไม่กินเนื้อสัตว์  กินแต่แพลงตอน (แพลงตอนก็ทำให้อ้วนได้เนอะ)  ตัวฉลามวาฬจะเป็นลายจุดๆ  และจะมีส่วนหนึ่งของลำตัวที่มีจุดเป็นลายเฉพาะของแต่ละตัว นักวิทยาศาสตร์จะถ่ายรูปในส่วนนี้ของปลาฉลามวาฬแต่ละตัวไว้ เพื่อใช้ในการติดตามและนับจำนวนประชากรฉลามวาฬ... Maritza เธอขึ้นมาบนเรือแล้วพูดว่า  เมื่อกี้เจอ Daniel ด้วย  Daniel ก็คือปลาฉลามวาฬตัวหนึ่งที่อยู่ในอ่าวชายฝั่งเมืง La Paz นั่นเอง  นั่นแหละนะ Maritza เธอว่ายน้ำดูปลาฉลามวาฬอยู่ทุกวัน  (รูปปลาฉลามวาฬขอให้ไปดูในวีดีโอลิ้งค์ https://www.youtube.com/watch?v=joGdlcSaPRA )

เขียนมาตั้งนาน ขอแนะนำสถานที่บ้าง เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนๆ ในการเริ่มค้นหาข้อมูลและวางแผนที่ทะเล La Paz  ชายหาดทุกชายหาดข้างล่างนี้ (ยกเว้น Cabo Plumo) ใช้เวลาขับรถออกจากเมือง La Paz แค่ประมาณ 40 นาที ถนนดี คนขับรถมีระเบียบ เคารพกฎจราจร ขับช้า (ช่างแตกต่างจากคนขับรถที่เม็กซิโกซิตี้มาก) แต่บางชายหาดจะไม่มีป้ายบอกทางที่ดี  ควรหาแผนที่ทาง google map หรือถามคนในพื้นที่ไปก่อน  พวกเราเช่ารถขับกัน

ชายหาด Teclolote ชายหาดนี้ไปค่อนข้างง่าย มีผู้คนและร้านอาหารในระดับหนึ่ง คนเม็กซิกันจะขับรถกระบะกันมาเป็นครอบครัว จอดรถบนชายหาดเลย แล้วตั้งโต๊ะกินข้าวเย็น พร้อมเปิดเพลง บางเจ้าก็ดังกระหึ่มเต้นกันอย่างสนุกสนาน พร้อมลังเบียร์กองโต  พวกเราไปนอนแคมป์ปิ้งที่ชายหาดนี้หนึ่งคืน เพราะ Maritza บอกว่า ที่ Teclolote มีแพลงตอนเรืองแสงเยอะ  แต่คืนนั้น โชคไม่ค่อยดี ลมแรงมากกกและเราก็ไม่ได้เห็นแพลงตอนเลย (แต่ข้อดี คือไฟจุดติดง่ายมาก ย่างบาร์บีคิวกันสนุกสนาน)

ท้องฟ้าสีลูกกวาด


ชายหาด Balandra ชายหาดนี้อยู่ถัดจากชายหาด Teclolote ไปนิดเดียว มีไฮไลท์คือการเดินลุยน้ำ (ในนยามน้ำลด) เพื่อไปดูหินรูปเห็ดที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลม ทำให้มีหินรูปเห็ดตั้งแยกโดดเด่นออกมา จากหน้าผาริมทะเล  แต่ทั้งสองครั้งที่เราไป น้ำขึ้นสูงตลอด เราเลยไม่สามารถเดินไปหาเห็ดน้อยได้  แต่ตอนที่นั่งเรือเพื่อไปดูสิงโตทะเล เรือก็แวะมาจอดที่เจ้าโขดหินเห็ดน้อยให้พวกเราได้ถ่ายรูปกันอยู่ดี  ชายหาด Balandra โค้งว้าว ทำให้น้ำนิ่งเหมือนสระว่ายน้ำ ว่ายน้ำสนุกมาก และยังสามารถเดินขึ้นภูเขาเพื่อไปดูวิวชายหาดสองหาดที่ขนาบภูเขาลูกนั้นได้อีกด้วย และข้างหลังก็จะเห็นชายหาด Teclolote หมุนตัวไปทางไหนก็เห็นทะเล...ทะเล 360 องศา ณ ชายหาด Balandra





เกาะ Isla de Espiritu Santo นั่งเรือไปเกือบสองชั่วโมงได้ เพื่อไปดูสิงโตทะเล  ระหว่างทางก็จะได้เห็นทิวทัศน์กึ่งทะเลทรายที่อยู่ริมทะเลที่สวยงาม เห็นเกาะขี้นก (เพราะเกาะขาวโพรนด้วยขี้นก) แวะถ่ายรูปกับหินเห็ดน้อยที่เขียนไปข้างบน  แวะกินอาหารกลางวันบนชายหาดทรายขาวบริสุทธิ์ น้ำทะเลสีฟ้าตั้งแต่ฟ้าอ่อนเรียงเฉดสีไปจนถึงฟ้าเข้ม  กัปตันเรือทำยำทะเลสไตล์เม็กซิกันที่เรียกว่า Ceviche ให้กินกับแป้งข้าวโพดเอกลักษณ์เม็กซิกันคือ แป้ง Tortilla อร่อยสดมากๆ ...และก็มาถึงไฮไลท์ คือการว่ายน้ำกับสิงโตทะเล  ก่อนลงจากเรือ Maritza อธิบายว่า สิงโตทะเลตัวผู้จะตัวใหญ่และมีโหนกที่หัว  ส่วนตัวเมียไม่มีโหนกและตัวเล็กกว่า  ห้ามเข้าไกลตัวผู้เพราะมันดุ  แต่พอพวกเราลงไปในน้ำ เราก็ดูไม่ออกแล้วว่า ตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย และเจ้าสิงโตทะเลก็ว่ายเข้ามาใกล้เราเหลือเกิน  ด้วยสัญชาตญาณเราก็ต้องพยายามว่ายหนีไว้ก่อน  สิงโตทะเลว่ายหมุนตัวในน้ำตลบแล้วตลบเล่า ผลุบๆ โผล่ๆ มีจังหวะโผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋เพื่อนเรา อีกนิดเดียวก็จะจูบกันแล้วด้วย  แล้ว Maritza ก็ถามพวกเราว่า ตรงนู้นมีสิงโตทะเลเยอะกว่า จะไปกันมั้ย พร้อมชี้นิ้วไปข้างหน้า  เราก็พนักหน้าทันที มาทั้งทีขอให้คุ้ม  พอเราว่ายไปเกือบถึงโคดหินที่มีสิงโตทะเลนอนอาบแดดอยู่เต็มไปหมด  Maritza ก็พูดขึ้นว่า คลื่นค่อนข้างแรง เราว่ายน้ำไปเกาะหินตรงนั้นก่อนนะ นักเรียนที่ดีของ Maritza ก็เชื่อฟังรีบว่ายไปเกาะโขดหินกันทุกคน แล้วน้ำก็พัดเข้ามาซัดตัวจ๋า จ๋าก็รีบเอามือเกาะโขดหินแน่นขึ้น  โอ๊ยเจ็บ ก็โขดหินมันมีแต่เปลือกหอยอ่ะ แหลมมากๆ  Maritza ตะโกนบอกว่า อย่าจับแน่นแบบนั้น จับหินเบาๆ แล้วปล่อยตัวให้ลอยไปลอยมากับคลื่น  โอเค ลองเปลี่ยนวิธีจับใหม่ เย่! จับเป็นแล้ว การจับก้อนหินนี่มันก็เหมือนความรักเนอะ รัดแน่นไปก็ถูกทิ่มแทง ผ่อนคลายไปก็อาจหลุดลอยจบสิ้นกันได้เหมือนกัน  ต้องยึดและหย่อยสลับกันไป...  ที่แท้จริงแล้วคือ คลื่นทะเลอยู่ดีๆ ก็เกิดแรงขึ้นมา และพวกเราไม่สามารถว่ายน้ำกลับไปที่เรือได้แล้ว  Maritza พูดอย่างนิ่งๆ ว่า เราเกาะโขดหินอยู่ตรงนี้ อีกซักพักกัปตันเรือน่าจะรู้ว่า เรากลับเรือไม่ได้และน่าจะขับเรือตามมา และกัปตันเรือก็หยั่งรู้จริงๆ ซักพักเรือก็ปรากฏตัวให้พวกเราเห็น และเราก็ว่ายน้ำกลับไปที่เรือกันได้อย่างปลอดภัย พร้อมรอยแผลที่แขนและขาที่ถูกหินบาดเลือดสดๆ ให้เป็นรอยจารึกแห่งความทรงจำที่แสนวิเศษ (และสะพรึงเล็กน้อย) ของทริปสิงโตทะเล ณ เกาะ Isla de Esperitu Santo













ชายหาด Saltito  ชายหาดนี้ไปยากหน่อย เพราะไม่มีป้ายบอกทางเลย ต้องมากับคนท้องถิ่นหรือหามาจาก Google map ก่อนก็น่าจะได้  พวกเราขับรถไปอย่างชิลๆ เปิดวิทยุท้องถิ่นฟังเพลงเม็กซิกันให้ได้บรรยากาศ และแล้ว เมื่อเลี้ยวผ่านไปโค้งหนึ่ง ภาพข้างหน้าของพวกเราก็คือ ทุ่งกระบองเพชรต้นสูงอ้วนกว้างใหญ่เต็มหน้าจอประสาทตาจากซ้ายไปขวา ทุ่งดังกล่าวค่อยๆ ลาดตัวลงจนไปจรดทะเลที่ทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่งดงามที่สุด  มันช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตามาก  พวกเราจอดรถและวิ่งลงไปยืนถ่ายรูปกันที่เชิงเขา มีฉากหลังเต็มไปด้วยต้นกระบองเพชรและทะเล ทะเล๊ ทะเล  และด้วยความซุ่มซ่ามของจ๋าที่เป็นคนไม่ค่อยเคยขับรถในต่างจังหวัด ก็เลยขับรถพ้นขอบถนนราดยางลงไปถึงส่วนที่เป็นดินลูกรัง พอตอนถอยรถกลับขึ้นมานั่นแหละ อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงครืดๆๆๆ โอ้พระเจ้า ตายแล้ว แผ่นพลาสติกใต้รถดันหลุดตกลงมาอ่ะ   อิๆ แต่ไม่เป็นไร ให้รู้ซะก่อนว่า เรามากับใคร  Maritza เธอเป็นเนตรนารีตัวจริง เธอยืนคิดอยู่ซักพักแล้วก็พูดขึ้นว่า ถ้าเอาเชือกมาผูกแผ่นนี้กลับขึ้นไปก็น่าจะได้  แล้วคุณตั้ว เพื่อนร่วมทริปอีกท่านก็เลยต้องเสียสละเชือกรองเท้าเอามาซ่อมรถ แล้วพวกเราก็ขับรถกันไปต่อได้อย่างสบายใจ ฮูเร่!!!  เส้นทางถนนหลังจากนั้นคือ เป็นการขับลงเขาไปทางถนนลูกรัง เหมือนขับเข้าไปใน "สวนวงกตกระบองเพชร" มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นกระบองเพชร และบางต้นก็มีดอกไม้สีแดงๆ ขึ้นมาพันอยู่เต็มต้นกระบองเพชรเลย แต่งแต้มสีสันให้กับ "ทะเลทรายจรดทะเล" แห่งนี้  ในที่สุด พวกเราก็ขับพ้นสวนวงกตและมาถึงขายหาด Saltito จนได้  (เส้นทางในสวนวงกต ไม่ยากนะคะ มีถนนอยู่เส้นเดียว ขับไม่หลงจ้ะ) ชายหาด Saltito กว้างพอสมควร  ช่วงเย็นๆ ก็มีผู้คนอยู่บ้าง แต่ตอนกลางคืน พวกเราก็เป็นกลุ่มเดียวอีก (หลายคนถามว่า ไม่กลัวหรอไปแคมปิ้งอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้เรื่องเลย คือ Maritza บอกว่า ที่นี่สงบมาก ไม่เคยมีเรื่องไม่ดีอะไร แล้วทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดี  แหะๆ)  คืนนั้น เราทำบาร์บีคิวกินกันอีก นอนดูดาว วิ่งลงน้ำดูแพลงตอนเรืองแสง  นอนดูพระจันทร์และดวงดาวค่อยๆ ลับฟ้า ก่อนที่พระอาทิตย์จะค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา  ฝูงนกนางนวลบินออกหาอาหาร  ก่อนที่พวกเราจะต้องเก็บเต้นท์ลง ขับรถกลับเข้าเมือง และนั่งคิดย้อนถึงช่วงเวลาอันแสนวิเศษกับธรรมชาติที่พวกเราได้มาสัมผัส ณ ชายทะเลแห่งความเงียบสงบ หรือ La Paz แห่งนี้








อุทยานแห่งชาติ Cabo Plumo  อันนี้ต้องทรหดอดทนนิดนึง อยู่ห่างจาก La Paz ประมาณ 2 ชั่วโมง และถนนไม่ดีมากๆ ควรเช่ารถ SUV หรือจี๊ฟ  พวกเราจ้างแท็กซี่ไป สุดท้ายแท็กซี่เสียด้วย แต่โชคดีเสียตอนถึงเมืองแล้ว สงสารคนขับแท็กซี่มากๆ  แต่ก็นะ ด้วยความที่ไปยากมาก ธรรมชาติจึงบริสุทธิ์มากๆ  พวกเราเดินเลียบชายหาดที่ด้านนึงเป็นทะเล อีกด้านนึงเป็นหน้าผาหินแดง เหมือนภูเขาที่เห็นในทะเลทราย  ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่  พวกเราไปนั่งปิคนิคกินไก่ย่างกันอยู่บนเชิงหน้าผา รอดูปลาฉลามที่ Maritza บอกว่า บางทีก็จะได้เห็น แต่วันนั้นไม่ได้เห็นนะจ้ะ  แต่แค่วิวทะเล ภูเขา ท้องฟ้า อย่างนี้ก็คุ้มสุดๆ แล้ว  พวกเราไป snorkel กันด้วย แต่ไม่ค่อยเห็นอะไร คงต้องมีเวลามากกว่านี้























No comments:

Post a Comment