Saturday, August 4, 2012

Museum of Anthropology ภาค 1 - Teotihuacan

คุณรู้หรือไม่ว่า กรุงเม็กซิโกมีพิพิธภัณฑ์ถึงกว่า 150 แห่ง ถือเป็นเมืองที่มีจำนวนพิพิธภัณฑ์มากเป็นอันดับสองของโลก รองจากปารีสเพียงเท่านั้น

วันอาทิตย์อากาศดีๆ แถมพิพิธภัณฑ์เข้าฟรี เลยต้องถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของเม็กซิโกซะหน่อย

พิพิธภัณฑ์มนุษยวิทยาแห่งชาติของเม็กซิโก (National Museum of Anthropology) ตั้งอยู่ตรงข้ามสวนสาธารณะหลักของเมือง Chapultepec และก็ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียวอื่นๆ อีก บรรยากาศเหมาะกับการพาครอบครัวมาพักผ่อนวันอาทิตย์แบบชิวล์ๆ มาก




เมื่อเดินเข้าสู่ห้องโถงทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ แหงนมองไปรอบตัวก็จะพบกับข้อความสลักบนฝาผนังที่อ่านแล้วก็คิดว่านี่แหละคือความสำคัญของประวัติศาสตร์ และการมีพิพิธภัณฑ์ดีๆ แบบนี้ไว้สอนประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลัง (แต่ก็ต้องสอนแบบถูกต้องด้วยเนอะ แบบถูกต้องคืออย่างไร อันนี้คงโต้วาทีกันได้อีกนานนน ;) )

"El pueblo mexicano levanta este monumento en honor de las admirables culturas que florecieron durante la era precolumbiana en regiones que son ahora territorio de la Republica.
Frente a los testimonios de aquellas culturas, el Mexico de hoy rinde homenaje al Mexico indigena en cuyo ejemplo reconoce caracteristicas esenciales de su originalidad nacional"
ชาวเม็กซิกันได้สร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อารยธรรมซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนนี้ ก่อนยุคการเข้ามาของสเปน ชาวเม็กซิกันยุคปัจจุบันขอแสดงความเคารพแด่ "เม็กซิโกในอดีต" สำหรับมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้ถ่ายทอดให้มาและช่วยสร้างเอกลักษณ์ประจำชาติให้กับ "เม็กซิโกยุคปัจจุบัน"

อีกผนังหนึ่งเขียนไว้ว่า 
"Valor y Confianza ante el porvenir hallan los pueblos en la grandeza de su pasado mexicano. Contemplate en el espejo de esa grandeza comprueba aqui extranjero la unidad del destino humano. Pasan las civilizaciones pero en los hombres quedara siempre la gloria de que otros hombres haya luchado para erigirlas."
"ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในอดีตคือ พลังสำคัญในการสร้างความกล้าหาญและความเชื่อมั่นให้กับมนุษย์ต่ออนาคตข้างหน้า อารยธรรมต่างๆ มีเกิดก็มีดับสลับกันไป แต่ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในอดีตที่ได้ทุ่มเทสร้างอารยธรรมเหล่านั้นขึ้นมา จะอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยเสมอไป"


พิพิธภัณฑ์สร้างเป็นตึกสองชั้นเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผินผ้า ตรงกลางเป็นลานโล่งให้คนนั่งพักผ่อนได้ หากจะดูทุกห้อง คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันเต็มๆ  วันนี้จึงขอเลือกเข้าห้องที่สำคัญที่สุด ๓ ห้องเท่านั้น ที่จัดแสดง 3 อารยธรรมดั้งเดิมหลักในดินแดนเม็กซิโก ก่อนการเข้ามาของสเปน นั่นก็คือ Teotihuacan  Aztec และ Maya

Teotihuacan 
เป็นเมืองที่เฟื่องฟูในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1-7 ตั้งอยู่ประมาณ 48 กม. ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเม็กซิโก  ปัจจุบันเป็นสถานที่ทางโบราณคดีและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเม็กซิโก มีสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่เป็นรู้จักกันดี คือ พิระมิดพระอาทิตย์และพิระมิดพระจันทร์ โดยในพิพิธภัณฑ์ฯ เค้าได้มีการจำลองเมือง Teotihuacan มาไว้ในสวนข้างๆพิพิธภัณฑ์ด้วย
  (สำหรับรูปสถานที่จริง คลิ้กลิงค์นี้ได้เลยจ้า  http://en.wikipedia.org/wiki/Teotihuacan)

พิระมิดพระอาทิตย์ถือเป็นพิระมิดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากพิระมิด Giza ของอียิปต์ และพีระมิด Cholula ซึ่งอยู่ในเม็กซิโกเหมือนกัน  แปลกที่อยู่กันไกลโพ้น ระหว่างแอฟริกากับอเมริกา แต่มนุษย์ก็มีจินตนาการคล้ายๆ กันและมีแรงศรัทธาสูงส่งเหมือนกันที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์เช่นนี้สำหรับพระเจ้าหรือกษัตริย์ซึ่งก็มักได้รับการเคารพบูชาเปรียบเสมือนพระเจ้า จริงๆ แล้ว ถ้าดูสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ต่างๆ ในโลก หรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนาของเกือบทุกศาสนา ก็มักจะมีลักษณะคล้ายกันคือสร้างในทรงทยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นพีระมิด ปราสาทนครวัด วัด โบสถ์ ดูเสมือนว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์และทุกยุคทุกสมัยต่างมองหาที่พึ่งที่มองไม่เห็น อยากเอื้อมให้ถึงขอบฟ้าที่กว้างใหญ่และสวยงามเบื้องบน ... ความฝันและศรัทธาอันแรงกล้าคือพลังสำคัญที่ทำให้มนุษย์ตัวเล็กๆ สร้างสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ...

ทำไมต้องชื่อ Pyramid of the Sun และ Pyramid of the Moon ยิ่งอ่านคำอธิบายต่างๆ ก็ยิ่งงง เว็บไซต์นึงบอกว่าเป็นชื่อที่ชาว Aztec ที่มาค้นพบพิระมิดทีหลังตั้งชื่อให้ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนเมือง Teotihuacan เรียกว่าอะไร อีกเว็บไซต์บอกเป็นเพราะ Pyramid of the Sun ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่พระอาทิตย์จะอยู่ตรงบนศรีษะพอดีเวลาเที่ยง พิระมิดนี้สร้างไว้เพื่ออะไร ก็ดูเหมือนจะงงๆ กันว่า สร้างเพื่อบูชาพระเจ้า หรือสร้างเพื่อเป็นหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญ อีกแหล่งก็บอกว่า ตำแหน่งที่ Pyramid of the Sun ตั้งอยู่ ข้างใต้เป็นถ้ำซึ่งคนสมัยโบราณเชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่งในโลก

แต่ที่แน่ๆ คือ สถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ปัจจุบันหลายคนเชื่อว่ามีพลังพิเศษ นักท่องเที่ยวไทยที่มาเม็กซิโกก็มักนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวที่สถานที่นี้ และยอมออกแรงเหนื่อยปีนขึ้นสู่ยอดของพีระมิดเพื่อรับพลังจากเบื้องบน


ภาพนี้คือ พระเจ้าพระอาทิตย์ (The Sun God) แลบลิ้น แสดงความกระหายเลือดมนุษย์
ทำไมในอดีต มนุษย์เกือบทุกเผ่าพันธ์ (อีกแล้ว... ยังดีที่ไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัยด้วย เพราะสมัยนี้ แทบไม่มีแล้ว) มักมีความเชื่อว่าต้องสังเวยชีวิตมนุษย์ด้วยกันเพื่อถวายบูชาแด่พระเจ้า มีหลายคำอธิบาย บ้างก็บอกว่า เป็นเหตุผลทางศาสนา เพราะมนุษย์เชื่อว่าจะต้องสังเวยชีวิต เพื่อเอาใจพระเจ้าที่จะช่วยปกป้องดูแลมนุษย์ต่อไป เหมือนทุกสรรพสิ่งในโลกที่จะต้องตายเพื่อเกิดใหม่ แต่ทำไมการตายโดยธรรมชาติไม่เพียงพอหรือ โชคดีที่ต่อมา ดูเหมือนศาสนายุคใหม่ จะมีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปในเรื่องนี้  คำอธิบายอื่น ก็บอกว่า ผู้ปกครองใช้พิธีสังเวยชีวิตมนุษย์นี้เพื่อทำให้ผู้อยู่ใต้ปกครองเกรงกลัว หรือเพราะจำนวนประชากรมากไปแล้ว เลยต้องหาวิธีลดจำนวนประชากร ...ขนาดนั้นเลยหรือ....

Quetzalcoatl พระเจ้า "งูขนนก" (Feathered Serpent)

ตอนแรกแปลว่า พระเจ้างูขน แต่ฟังแล้วแทม่งๆ เลยคิดว่าเติมคำว่า "นก" เข้าไปหน่อยดีกว่า ฟังดูดีขึ้นนิดนึง แต่ถ้าใครมีคำแปลที่เพราะกว่านี้ ช่วยบอกมาด้วยนะคะ


ภาพแรกเป็นรูปภาพ "งูขนนก" ของจริงที่ Teotihuacan ส่วนรูปที่สองเป็นผนังจำลองของวัด "งูขนนก" (Feathered Serpent Temple) ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ฯ ชอบที่พิพิธภัณฑ์เค้ามีวิธีการจัดแสดงหลายรูปแบบมาก มีทั้งการจำลองสถานที่ ทั้งภายในพิพิธภํณฑ์เอง และในสวนข้างๆ มีห้องฉายวิดีโอหลบอยู่หลังผนังวัด "งูขนนก" นี้ มีการใช้เทคนิคแสงสีเสียงดิจิตอลต่างๆ ที่ทำให้การเดินชมพิพิธภัณฑ์เพลิดเพลินมาก

กลับมาเข้าเรื่อง "งูขนนก" ต่อ  ทางทิศใต้ของ Teotihuacan จะเป็นที่ตั้งของวัด "งูขนนก" (Temple of Feathered Serpent) แสดงให้เห็นความสำคัญของพระเจ้าองค์นี้ในยุคของ Teotihuacan และยุคต่อๆ มา ทั้งในอารยธรรม Aztec และ Maya มีหลายคำอธิบายอีกแล้วว่า งูขนนก คือ พระเจ้าอะไร แต่คำอธิบายที่ชอบที่สุด คือ ที่บอกว่า งูขนนก เป็นเสมือนผู้เชื่อมพรมแดนระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ เนื่องจากงูเป็นสัตว์บนโลก แต่พอมีขนนกก็จะสามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าสวรรค์เบื้องบนได้ และเป็นพระเจ้าผู้สร้างมนุษยชาตินั่นเอง

อีกครั้นหนึ่งแล้ว ที่จะสังเกตได้ถึงความเชื่อที่ดูเหมือนจะเป็นสากลในหลายอารยธรรมโบราณ คือ งูขนนก ดูไปดูมาก็คล้ายๆ กับมังกรของชาวตะวันออก งูเป็นสัตว์ที่มักจะได้รับการเคารพบูชาในอารยธรรมต่างๆ อาจจะเป็นเพราะความน่าเกรงขามของมัน และมนุษย์ก็มักหาวิธีแต่งเติมจินตนาการเข้าไปทำให้งูสามารถบินขึ้นสู่สวรรค์ได้ อย่างเช่น งูขนนกหรือมังกร  หรือให้งูดำน้ำสู่โลกบาดาลซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งกำหนดของมนุษย์เหมือนกัน อย่างเช่น พญานาค ....

คราวหน้า เราจะมาต่อเรื่องอารยธรรม Aztec กัน :)....

Saturday, July 21, 2012

Culinary Tour in Mexico City

จริงๆ วันนีี้ อยากเขียนเรื่อง ถนน Reforma เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเม็กซิโกซิตี้  แต่พอดีติดปัญหาเรื่องรูปภาพเล็กน้อย  เลยขอเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน และมาเขียนเรื่องอาหารแทน :)

ขอเริ่มจากอาหารท้องถิ่นของเม็กซิโก ก่อนจะเขียนเรื่องอาหารลูกครึ่ง เช่น ซูชิสไตล์เม็กซิกัน ในโอกาสต่อไป

Tortilla แผ่นแป้งข้าวโพดแผ่นกลมๆ ที่สามารถนำมาทำอาหารได้สารพัดรูป ถ้าพับครึ่งเป็นรูปครึ่งวงกลม ก็เรียกว่า Tacos ถ้าม้วนเป็นหลอดเหมือนปอเปี๊ยะก็เรียกว่า Flautas (แปลว่า ฟลุ้ท ชื่ออาหารช่างบ่งบอกถึงอารมณ์สุนทรีย์ของคนเม็กซิกันทีเดียว)

นำแป้ง Tortilla อุ่นบนกระทะร้อน แล้วก็เติมไส้  ซึ่งอาจจะเป็นเนื้อสับ หมูสับ ไก่สับ หรือซีฟู้ด ก็ได้แล้วแต่ชอบ บางร้านจะย่างเนื้อหมูแบบเสียบไม้หมุน เหมือน Kebab เลย ได้ผลผลิตออกมาเป็น เนื้อหมูแดงๆ รสชาติและหน้าตาคล้ายหมูแดงบ้านเรามาก พอมีเนื้อสัตว์แล้ว ก็โรยผักเข้าไปหน่อย หัวหอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักกาด หรือผักเจ้าประจำอีกอย่างในอาหารเม็กซิกัน นั่นก็คือ อะโวคาโด นั่นเอง แล้วราดซอส ซอสแดงหรือซอสเขียวดี ถ้าเป็นซอสแดง ก็ทำจากมะเขือเทศแดง ถ้าเป็นซอสเขียว ก็ทำจากมะเขือเทศเขียวลูกเล็กๆ ซึ่งไม่เคยเห็นที่อื่นเหมือนกัน รสชาติเปรี้ยวสุดๆ เพื่อนคนไทยบางคนบอกว่า รสชาติคล้ายน้ำพริกหนุ่มบ้านเรา

                                         Tacos ที่ร้าน Villa Maria มองไม่ค่อยเห็นไส้เท่าไหร่ :(

Quesadilla คือ แป้ง tortilla ไส้ชีส (ของโปรดของเรา) เพราะ "Anything with cheese tastes good" :) นอกจากชีสแล้ว อาจใส่เนื้อสัตว์ ไส้กรอก Chorizo (ไส้กรอกเปรี้ยวๆ) หรือจะเป็นสไตล์มังสวิรัติ ใส่ผักโขมและมันฝรั่งก็ได้ ชีสที่ใช้กับ Quesadilla เรียกว่า Oaxaca cheese จากรัฐ Oaxaca ของเม็กซิโก Quesadilla ร้อนๆ กับชีสที่ละลายอยู่ข้างใน แค่นี้ก้ออิ่มเอมเปรมปรีย์แล้ว

Homemade Quesadilla with chorizo (หน้าตาหนูอาจจะดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่หนูถูกกินหมดเกลี้ยงเลย)                                    

Homemade Quesadilla with spinach and potato

Mexican Cuisine vs. Tex-Mex?  
คนเม็กซิกันจะบอกว่า Tex-Mex ไม่ใช่อาหารเม็กซิกัน ส่วนคนที่เคยอยู่อเมริกามาก่อน ก็จะเรียกร้องหา Taco Bell และไม่พิสมัยอาหารเม็กซิกันในเม็กซิโกเท่าไหร่  มันต่างกันยังไงหนอ.... Tex-Mex มาจากคำว่า Texas-Mexican ก็คืออาหารที่กำเนิดในรัฐเท็กซัสโดยได้รับอิทธิพลจากอาหารเม็กซิกัน และโดยที่อาหาร Tex-Mex แพร่หลายไปทั่วอเมริกาและทั่วโลก (มากกว่าร้านอาหารที่มาจากเม็กซิโก) หลายคนจึงมักเข้าใจว่า Tex-Mex ก็คืออาหารเม็กซิกันนั่นแหละ ซึ่งจริงๆ อาหารสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอยู่เหมือนกัน
อาหารเม็กซิกัน จริงๆ แล้วมีมากกว่า "Tortilla ห้อไส้" มาก และมีความหลากหลายไปตามภูมิภาคต่างๆ ของเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่มาก มีภูมิประเทศทั้งทะเลทราย ภูเขา ชายทะเล และภูมิอากาศตั้งแต่หนาว ไปจนถึงร้อนชื้น  อาหารจานเด็ดอื่นๆ ของเม็กซิกัน เช่น Pollo con mole (ไก่ราดซอสช็อคโกแลต ของเมือง Puebla) และ Cochinita pibil (หมูตุ๋นของรัฐ Yucatan - อยู่ใน to-taste list :)

สำหรับเมนูที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของ Tex-Mex และไม่ได้มาจากอาหารเม็กซิกัน ก็คือ เมนูที่มากับ tortilla chips ต่างๆ เช่น Nachos (tortilla chips ราดชีส) รวมทั้ง Chile con carne และ Fajitas (เนื้อย่างผัดกับหัวหอมและพริกหยวก และเสิร์ฟกับ tortilla)

A chacun son goût!



Saturday, July 14, 2012




Hola Mexico Lindo! เป็นเวลา ๓ สัปดาห์ แล้วที่ได้เดินทางมาถึงเม็กซิโก และได้พบกับทั้งเม็กซิโกที่คุ้นเคย และเม็กซิโกที่ไม่เคยรู้จักหรือไม่คาดคิดไว้

เมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ได้มีโอกาสมาเที่ยวเม็กซิโกกับเพื่อนสาว ๒ คน ทริปนั้นเป็นหนึ่งในทริปที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง พวกเรา ๓ สาว (ทำเป็น)ลืมความน่ากลัวและอันตรายของเมืองเม็กซิโกไว้ชั่วขณะ และแบกเป้ตะลุยกันแบบไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เราพักกันในย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านประวัติศาสตร์ด้วย เรียกว่า Zocalo ผู้คนพลุกพล่าน เสียงดังวุ่นวายตลอดเวลา ชิมข้าวแกงในตลาด เดินสัมผัสบรรยากาศถนนยามค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยของขายมากมาย โดยเฉพาะซีดีเถื่อน ด้วยใจตุ้มๆต่อมๆเหมือนกัน รับน้ำใจไมตรีของพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารที่ริน Tequila ให้พวกเราดื่มฟรีๆ แม้เมืองจะวุ่นวาย แต่ด้วยน้ำจิตน้ำใจไมตรีของผู้คนเม็กซิโกที่เราได้พบ และเสียงเพลงซัลซ่าที่ดังคลออยู่ตลอดการเดินทางในท้องถนน (หรือแม้แต่ในทะเล) จึงทำให้ฉันตัดสินใจกลับมาที่นี่อีกครั้ง 

ครั้งนี้ไม่ได้มาเที่ยวแล้ว แต่มาทำงานเป็นเวลาถึง ๔ ปี และเม็กซิโกที่ฉันได้พบในครั้งนี้ ก็ต่างไปจากเม็กซิโกเมื่อ ๖ ปีที่แล้วอยู่เหมือนกัน

เพราะครั้งนี้มาอยู่ย่านหรูชื่อ Polanco เมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ยังเป็นนักเรียนแบกเป้เที่ยว เลยอยู่ Zocalo ใจกลางเมือง อากาศที่เจอครั้งนี้เย็นเลยแหละ สงสัยเพราะครั้งที่แล้วมาช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงหน้าร้อนของที่นี่ แล้วเค้าบอกว่า Polanco อยู่บนเขาเลยเย็นกว่าใจกลางเมือง คือเวลาขับรถลงจากดอยไปกลางเมือง หรือข้ามไปสนามบิน ก็จะได้รู้สึกทั้งอากาศที่เปลี่ยนไป มลพิษที่เพิ่มขึ้น และสภาพบ้านเมืองที่โทรมและวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ

 Mexico ก็คงเหมือนเมืองใหญ่ๆ ในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ (หรือแม้แต่ในประเทศพัฒนาแล้ว) คือมีทั้งย่านหรู และย่านโทรม สลับกันอยู่ เหมือนมีสวรรค์และนรกอยู่ใกล้ๆ กัน น่าเศร้าเหมือนกันเวลาเห็นว่าสังคมที่นี่แบ่งชนชั้นกันมาก มีหลายสิ่งหลายอย่างมากที่สามารถใช้บ่งบอกได้ว่าคนนี้อยู่ในบันไดขั้นไหนของสังคม แต่เมืองไทยก็ไม่ได้ดีกว่าซักเท่าไหร่ หรืออาจจะเหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมและทำให้ประทับใจเสมอมา ก็คือน้ำจิตน้ำใจของคนเม็กซิกัน ที่จะเป็นคนอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด นิสัยคล้ายคนไทยมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือเข้าใจหรือไม่เข้าใจ คนเม็กซิกันก็จะฉีกยิ้มให้เสมอ และพูดว่า "esta bien" ในเวอร์ชั่นไทย ก็จะเป็นยิ้มสยามของคนไทยกับคำพูดติดปากว่า "ไม่เป็นไร" นั่นเอง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไทยกับเม็กซิโกเหมือนกันมาก คงจะได้เขียนเรื่องความเหมือนของ "พี่น้องร่วมเส้นศูนย์สูตร" คู่นี้อีกหลายตอน แล้วรอติดตามอ่านกันนะคะ 

เรื่องอื่นๆ ที่คิดว่าอยากเขียนเล่าสู่กันฟัง ก็คงมีเรื่องอาหารการกิน (อันนี้พลาดไม่ได้) ย่านต่างๆ ในเม็กซิโกซิตี้ พิพิธภัณฑ์ในเมืองที่มีเป็นร้อยแห่ง เม็กซิโกซิตี้เป็นเมืองที่มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมเยอะมากๆ เพราะฉะนั้นต้องมีของแปลกให้ค้นพบเยอะแน่ๆ :) วิธีการตั้งชื่อถนน ตั้งชื่อโรงเรียน การเมืองเม็กซิโก (ควันหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีซึ่งพึ่งมีไปเมื่อ ๑ ก.ค.) "yoga vs. salsa" และย่าน Coyoacan ซึ่งมีบ้านของ Frida Kahlo ตั้งอยู่

หวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้อ่านบล็อคนี้ จะได้รู้จักเม็กซิโก ในมุมมองที่แตกต่างไปจากภาพเม็กซิโกในข่าวบ้าง ซึ่งคงหนีไม่พ้น เรื่องความไม่ปลอดภัยและมาเฟียยาเสพติด แถมไม่นานมานี้ยังมีเรื่องแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ และไข้หวัดนกมาช่วยสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับดินแดนแห่งนี้อีก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ต้องขอบอกว่า "ชีวิตจริงดีกว่าในนิยาย (ซึ่งกำกับโดยประเทศมหาอำนาจ จุด จุด จุด)" เยอะมากค่ะ :D

!Bienvenidos A Mexico!