Sunday, April 24, 2016

เม็กซิโกซิตี้...ต้นไม้เยอะ อากาศดี ใครจะเชื่อ!?!

เม็กซิโกซิตี้ (Mexico City)  เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโก  มหานครของผู้คนประมาณ 20 ล้านคน  ก่อนมา คนส่วนใหญ่จะมีภาพของเม็กซิโกซิตี้ว่า เป็นเมืองรถติด มลพิษสูง อันตราย  แต่เมื่อมาถึง ทุกคนก็จะพูดด้วยความประหลาดใจว่า เมืองนี้ต้นไม้เยอะจัง อากาศเย็นสบายดีจัง ...คงมีไม่กี่เมืองที่จะมีภาพลักษณ์ที่แย่กว่าความเป็นจริง!  

วันนี้ เอาภาพต้นไม้และคนใส่เสื้อหนาวบางๆ มายืนยันว่า เม็กซิโกซิตี้ ต้นไม้เยอะเจรงๆ และอากาศดีเจรงๆ  พ่อบอกว่า อากาศเย็นแบบนี้เหมือนมีบ้านอยู่บนดอยอินทนนท์   

เรื่องของเรื่อง คือ เม็กซิโกซิตี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูง สูงประมาณ 2,300 เมตร (ดอยอินทนนท์สูง 2,500 เมตร) จึงมีอากาศเย็นตลอดปี  เป็นอากาศเย็นจากระดับความสูงของพื้นที่   ไม่ใช่หนาวแบบยุโรป  เย็นแบบกำลังพอเหมาะพอดีเลยแหละ...และตลอดปี! 




Saturday, January 16, 2016

ทะเล La Paz - Hidden Gem ของเม็กซิโก

เมื่อกล่าวถึงทะเลในเม็กซิโก หลายคนก็คงนึกถึงเมืองชายหาดแคนคูนที่โด่งดัง ซึ่งตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน น้ำสีฟ้าใส ไร้คลื่น ประหนึ่งลงไปว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำอย่างใดอย่างนั้น

แต่วันนี้จ๋าขอมานำเสนอ hidden gem ใหม่ของเม็กซิโก ที่น้อยคนนักจะรู้จักหรือเคยไป เผื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักผจญภัยทีถือคติ "ขอไปสุดขอบโลกหล้าฟ้าเขียว" (แต่ ฟ้าที่เมือง La Paz ก็ยังเป็นสีฟ้า ไม่ใช่สีเขียวอยู่ดีนะ)

....หากใครมีเวลาไม่มาก จะไปดูวีดีโอ La Paz ของพวกเราก็ได้น้าที่ลิ้งค์ https://www.youtube.com/watch?v=joGdlcSaPRA  (ต้องเปิดจากเครื่องคอมพ์เท่านั้น มือถืออาจเปิดไม่ได้ เพราะติดลิขสิทธิ์เพลง ดู 1 นาทีครึ่ง ก็จะตกหลุมรัก La Paz กันเลยล่ะ)...

เมือง La Paz ตั้งอยู่เกือบสุดปลายติ่งของคาบสมุทรบาฮาแคลิฟอร์เนีย (Baja California) ลองกางแผนที่ดูกัน เริ่มจากมองไปที่รัฐ California ของสหรัฐฯ แล้วทางใต้สุดของรัฐ ก็จะเห็นว่ามีติ่งยื่นออกมา และส่วนติ่งนี้ก็เป็นดินแดนของเม็กซิโก ที่แบ่งเป็น 2 รัฐ เรียกว่า "Baja California" (แปลว่า แคลิฟอร์เนียใต้) และ "Baja California Sur" (แปลว่า แคลิฟอร์เนียใต้ของใต้)  ที่เป็นชื่อ California เหมือนกัน ก็เพราะสมัยก่อน รัฐ California ของสหรัฐฯ ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของเม็กซิโก เรียกว่า "Alta California" หรือแคลิฟอร์เนียเหนือ เมื่อปี 1848 เม็กซิโกพ่ายแพ้สงครามต่อสหรัฐฯ ทำให้ต้องเสียพื้นที่กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไป (เอง!)

Cr: www.welt-atlas.de

คาบสมุทรบาฮาแคลิฟอร์เนียถูกขนาบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันตก และทะเลคอร์เทซ (Cortez) ทางตะวันออก ซึ่งเมือง La Paz ก็ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลคอร์เทซ และทะเลคอร์เทซก็คือความมหัศจรรย์ของภาคเหนือของเม็กซิโก

ทะเลคอร์เทซเป็นทะเล (เกือบ) ปิดคล้ายทะเลแคริบเบียน  มีชายหาดโค้งว้าวสวยงามหลายแห่ง  และคลื่นก็ไม่สูงน่ากลัวเหมือนกับทางชายฝั่งแปซิฟิก  น้ำทะเลคอร์เทซจะเป็นสีน้ำเงินเข้มกว่าทะเลแคริบเบียน  เป็นเฉดสีน้ำเงินที่ไม่เคยเห็นที่ทะเลที่เมืองไทย




ความแปลกอีกอย่างของสถานที่แห่งนี้ คือ มีภูมิประเทศเป็นทะเลทรายมาจรดทะเล จึงมีต้นกระบองเพชรขึ้นอยู่ตามภูเขา ตลอดเส้นทางที่เราขับรถจากเมือง La Paz ไปที่ชายหาดเลย  ทำให้ได้เห็นภาพของเม็กซิโกตามจินตนาการที่หลายคนมีเกี่ยวกับเม็กซิโกอยู่ คือทะเลทรายและต้นกระบองเพชร  แต่สภาพภูมิประเทศก็ดูเป็นสีเขียวจากต้นกระบองเพชรที่ขึ้นอย่างหนาแน่นและต้นไม้อื่นๆ อีก ทำให้ไม่ได้ดูแห้งแล้งอย่างที่คิด  (และไม่ได้มีหนุ่มเม็กซิกันใส่หมวกสัปปะหงกอยู่ใต้ต้นกระบองเพชรนะจ้ะ  อันนี้ก็เป็นอีก stereotype หนึ่งที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมแม้แต่ร้านขายของที่ระลึกในเม็กซิโกก็ชอบทำรูปตาหนุ่มใส่หมวกนั่งหลับใต้ต้นกระบองเพชรนี้ออกมาขาย ไม่รู้เราคิดมากไปเองหรือป่าว ว่า มันเหมือนทำให้นักท่องเที่ยวคิดว่าคนเม็กซิกันขี้เกียจ  ทั้งๆ ที่จริง เราว่า คนเม็กซิกันไม่ขี้เกียจเลย ขยันซะด้วยซ้ำ แต่บางทีก็เหมือนมีโอกาสน้อยในชีวิต เพราะความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่นี่สูงมากๆ)


เมื่อปีที่แล้ว คือปี 2558 พวกเราติดใจ La Paz มาก ถึงขนาดไปสองครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน และครั้งที่สองในเดือนตุลาคม  ในการไปเที่ยวครั้งแรก  เพื่อนร่วมแก๊งค์ทัวร์ผู้ช่ำชองในยุทธจักรการท่องเที่ยวลาตินอเมริกาไปได้เพื่อนผ่านทางเว็บไซต์ Couchsurfing เธอชื่อ Maritza และได้เสนอที่จะพาพวกเราเที่ยวที่เมือง La Paz ซึ่งเธออาศัยและเรียนอยู่ในคณะชีววิทยาทางทะเล  Maritza ได้กลายเป็นเหมือนนางฟ้าที่มาโปรดพวกเราจากท้องทะเล  เธอรู้ทุกอย่างตั้งแต่ทัวร์ราคาถูกและดี  เธออธิบายความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิงโตทะเลและปลาฉลามวาฬ  เธอพาพวกเราว่ายน้ำไปดูสิงโตทะเล  เธอพาพวกเราไปกิน Burritos อร่อยและถูก เธอพาพวกเราเดินไปนั่งปิคนิคกินไก่ย่างกันบนหน้าผาริมชายหาด Cabo Plumo สถานที่ซึ่งมีแค่เรากับเรา (โรแมนติกหมู่ 5 คน) และวิวที่แม้แต่โรงแรมห้าดาวที่แพงที่สุดในโลกก็คงยังไม่สวยเท่า  และในครั้งที่สอง ที่พวกเราไปเยี่ยม Maritza เธอก็พาเราไปนอนแคมปิ้งชายหาดที่มีแค่เรากับเราอีกแล้ว (คราวนี้โรแมนติก 3) นอนดูทางช้างเผือกที่ชัดมากๆ  ลงไปแหวกน้ำดูแพลงตอนเรืองแสงตอนตีสี่  เรียนวิชาลูกเสือในการกางเต๊นท์และจุดไฟย่างเนื้อบาร์บีคิว



Maritza เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปลาฉลามวาฬ  และแน่นอนเธอก็พาพวกเราไปว่ายน้ำดูฉลามวาฬ  ซึ่งในวันนั้น ทุกคนบอกว่า พวกเราโชคดีมากที่ได้เห็นปลาฉลามวาฬในท่าตั้งตัวในแนวตรงเพื่อหยุดกินแพลงตอนถึงสองตัวในเวลาเดียวกัน และมันก็อยู่ในท่านั้นนานมากๆ แบบไม่ขยับเลย  มีแต่ปากอันแสนกว้างของมันที่อ้าอยู่เพื่อดูดแพลงตอนเข้าไป   พวกเราต้องพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะว่ายหลบไปหลบมา เพื่อไม่ให้ตัวไปโดนเจ้ายักษ์ใหญ่ของมหาสมุทรที่ใจดี (หรือไร้อารมณ์มากๆ) เพราะการที่ตัวเราไปสัมผัสกับฉลามวาฬอาจทำให้มันตกใจและว่ายหนีไปได้   Maritza บอกว่า  โดยปกติแล้ว ปลาฉลามวาฬจะว่ายไปกินแพลงตอนไป  เพราะฉะนั้น นักท่องเที่ยวเมื่อกระโดดลงน้ำแล้ว ก็จะต้องรีบว่ายสุดชีวิต เพื่อตามปลาฉลามวาฬให้ทันเพื่อจะได้เห็นเจ้ายักษ์ใหญ่นี้แม้เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะว่ายน้ำต่อไปและเราก็ว่ายตามมันไม่ทันแล้ว  เจ้าปลาฉลามวาฬจะไม่เห็นและไม่สนใจเราเลย  มันเป็นปลาตระกูลฉลามที่ตัวใหญ่เหมือนปลาวาฬ  แต่ไม่กินเนื้อสัตว์  กินแต่แพลงตอน (แพลงตอนก็ทำให้อ้วนได้เนอะ)  ตัวฉลามวาฬจะเป็นลายจุดๆ  และจะมีส่วนหนึ่งของลำตัวที่มีจุดเป็นลายเฉพาะของแต่ละตัว นักวิทยาศาสตร์จะถ่ายรูปในส่วนนี้ของปลาฉลามวาฬแต่ละตัวไว้ เพื่อใช้ในการติดตามและนับจำนวนประชากรฉลามวาฬ... Maritza เธอขึ้นมาบนเรือแล้วพูดว่า  เมื่อกี้เจอ Daniel ด้วย  Daniel ก็คือปลาฉลามวาฬตัวหนึ่งที่อยู่ในอ่าวชายฝั่งเมืง La Paz นั่นเอง  นั่นแหละนะ Maritza เธอว่ายน้ำดูปลาฉลามวาฬอยู่ทุกวัน  (รูปปลาฉลามวาฬขอให้ไปดูในวีดีโอลิ้งค์ https://www.youtube.com/watch?v=joGdlcSaPRA )

เขียนมาตั้งนาน ขอแนะนำสถานที่บ้าง เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับเพื่อนๆ ในการเริ่มค้นหาข้อมูลและวางแผนที่ทะเล La Paz  ชายหาดทุกชายหาดข้างล่างนี้ (ยกเว้น Cabo Plumo) ใช้เวลาขับรถออกจากเมือง La Paz แค่ประมาณ 40 นาที ถนนดี คนขับรถมีระเบียบ เคารพกฎจราจร ขับช้า (ช่างแตกต่างจากคนขับรถที่เม็กซิโกซิตี้มาก) แต่บางชายหาดจะไม่มีป้ายบอกทางที่ดี  ควรหาแผนที่ทาง google map หรือถามคนในพื้นที่ไปก่อน  พวกเราเช่ารถขับกัน

ชายหาด Teclolote ชายหาดนี้ไปค่อนข้างง่าย มีผู้คนและร้านอาหารในระดับหนึ่ง คนเม็กซิกันจะขับรถกระบะกันมาเป็นครอบครัว จอดรถบนชายหาดเลย แล้วตั้งโต๊ะกินข้าวเย็น พร้อมเปิดเพลง บางเจ้าก็ดังกระหึ่มเต้นกันอย่างสนุกสนาน พร้อมลังเบียร์กองโต  พวกเราไปนอนแคมป์ปิ้งที่ชายหาดนี้หนึ่งคืน เพราะ Maritza บอกว่า ที่ Teclolote มีแพลงตอนเรืองแสงเยอะ  แต่คืนนั้น โชคไม่ค่อยดี ลมแรงมากกกและเราก็ไม่ได้เห็นแพลงตอนเลย (แต่ข้อดี คือไฟจุดติดง่ายมาก ย่างบาร์บีคิวกันสนุกสนาน)

ท้องฟ้าสีลูกกวาด


ชายหาด Balandra ชายหาดนี้อยู่ถัดจากชายหาด Teclolote ไปนิดเดียว มีไฮไลท์คือการเดินลุยน้ำ (ในนยามน้ำลด) เพื่อไปดูหินรูปเห็ดที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลม ทำให้มีหินรูปเห็ดตั้งแยกโดดเด่นออกมา จากหน้าผาริมทะเล  แต่ทั้งสองครั้งที่เราไป น้ำขึ้นสูงตลอด เราเลยไม่สามารถเดินไปหาเห็ดน้อยได้  แต่ตอนที่นั่งเรือเพื่อไปดูสิงโตทะเล เรือก็แวะมาจอดที่เจ้าโขดหินเห็ดน้อยให้พวกเราได้ถ่ายรูปกันอยู่ดี  ชายหาด Balandra โค้งว้าว ทำให้น้ำนิ่งเหมือนสระว่ายน้ำ ว่ายน้ำสนุกมาก และยังสามารถเดินขึ้นภูเขาเพื่อไปดูวิวชายหาดสองหาดที่ขนาบภูเขาลูกนั้นได้อีกด้วย และข้างหลังก็จะเห็นชายหาด Teclolote หมุนตัวไปทางไหนก็เห็นทะเล...ทะเล 360 องศา ณ ชายหาด Balandra





เกาะ Isla de Espiritu Santo นั่งเรือไปเกือบสองชั่วโมงได้ เพื่อไปดูสิงโตทะเล  ระหว่างทางก็จะได้เห็นทิวทัศน์กึ่งทะเลทรายที่อยู่ริมทะเลที่สวยงาม เห็นเกาะขี้นก (เพราะเกาะขาวโพรนด้วยขี้นก) แวะถ่ายรูปกับหินเห็ดน้อยที่เขียนไปข้างบน  แวะกินอาหารกลางวันบนชายหาดทรายขาวบริสุทธิ์ น้ำทะเลสีฟ้าตั้งแต่ฟ้าอ่อนเรียงเฉดสีไปจนถึงฟ้าเข้ม  กัปตันเรือทำยำทะเลสไตล์เม็กซิกันที่เรียกว่า Ceviche ให้กินกับแป้งข้าวโพดเอกลักษณ์เม็กซิกันคือ แป้ง Tortilla อร่อยสดมากๆ ...และก็มาถึงไฮไลท์ คือการว่ายน้ำกับสิงโตทะเล  ก่อนลงจากเรือ Maritza อธิบายว่า สิงโตทะเลตัวผู้จะตัวใหญ่และมีโหนกที่หัว  ส่วนตัวเมียไม่มีโหนกและตัวเล็กกว่า  ห้ามเข้าไกลตัวผู้เพราะมันดุ  แต่พอพวกเราลงไปในน้ำ เราก็ดูไม่ออกแล้วว่า ตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย และเจ้าสิงโตทะเลก็ว่ายเข้ามาใกล้เราเหลือเกิน  ด้วยสัญชาตญาณเราก็ต้องพยายามว่ายหนีไว้ก่อน  สิงโตทะเลว่ายหมุนตัวในน้ำตลบแล้วตลบเล่า ผลุบๆ โผล่ๆ มีจังหวะโผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋เพื่อนเรา อีกนิดเดียวก็จะจูบกันแล้วด้วย  แล้ว Maritza ก็ถามพวกเราว่า ตรงนู้นมีสิงโตทะเลเยอะกว่า จะไปกันมั้ย พร้อมชี้นิ้วไปข้างหน้า  เราก็พนักหน้าทันที มาทั้งทีขอให้คุ้ม  พอเราว่ายไปเกือบถึงโคดหินที่มีสิงโตทะเลนอนอาบแดดอยู่เต็มไปหมด  Maritza ก็พูดขึ้นว่า คลื่นค่อนข้างแรง เราว่ายน้ำไปเกาะหินตรงนั้นก่อนนะ นักเรียนที่ดีของ Maritza ก็เชื่อฟังรีบว่ายไปเกาะโขดหินกันทุกคน แล้วน้ำก็พัดเข้ามาซัดตัวจ๋า จ๋าก็รีบเอามือเกาะโขดหินแน่นขึ้น  โอ๊ยเจ็บ ก็โขดหินมันมีแต่เปลือกหอยอ่ะ แหลมมากๆ  Maritza ตะโกนบอกว่า อย่าจับแน่นแบบนั้น จับหินเบาๆ แล้วปล่อยตัวให้ลอยไปลอยมากับคลื่น  โอเค ลองเปลี่ยนวิธีจับใหม่ เย่! จับเป็นแล้ว การจับก้อนหินนี่มันก็เหมือนความรักเนอะ รัดแน่นไปก็ถูกทิ่มแทง ผ่อนคลายไปก็อาจหลุดลอยจบสิ้นกันได้เหมือนกัน  ต้องยึดและหย่อยสลับกันไป...  ที่แท้จริงแล้วคือ คลื่นทะเลอยู่ดีๆ ก็เกิดแรงขึ้นมา และพวกเราไม่สามารถว่ายน้ำกลับไปที่เรือได้แล้ว  Maritza พูดอย่างนิ่งๆ ว่า เราเกาะโขดหินอยู่ตรงนี้ อีกซักพักกัปตันเรือน่าจะรู้ว่า เรากลับเรือไม่ได้และน่าจะขับเรือตามมา และกัปตันเรือก็หยั่งรู้จริงๆ ซักพักเรือก็ปรากฏตัวให้พวกเราเห็น และเราก็ว่ายน้ำกลับไปที่เรือกันได้อย่างปลอดภัย พร้อมรอยแผลที่แขนและขาที่ถูกหินบาดเลือดสดๆ ให้เป็นรอยจารึกแห่งความทรงจำที่แสนวิเศษ (และสะพรึงเล็กน้อย) ของทริปสิงโตทะเล ณ เกาะ Isla de Esperitu Santo













ชายหาด Saltito  ชายหาดนี้ไปยากหน่อย เพราะไม่มีป้ายบอกทางเลย ต้องมากับคนท้องถิ่นหรือหามาจาก Google map ก่อนก็น่าจะได้  พวกเราขับรถไปอย่างชิลๆ เปิดวิทยุท้องถิ่นฟังเพลงเม็กซิกันให้ได้บรรยากาศ และแล้ว เมื่อเลี้ยวผ่านไปโค้งหนึ่ง ภาพข้างหน้าของพวกเราก็คือ ทุ่งกระบองเพชรต้นสูงอ้วนกว้างใหญ่เต็มหน้าจอประสาทตาจากซ้ายไปขวา ทุ่งดังกล่าวค่อยๆ ลาดตัวลงจนไปจรดทะเลที่ทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่งดงามที่สุด  มันช่างเป็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตามาก  พวกเราจอดรถและวิ่งลงไปยืนถ่ายรูปกันที่เชิงเขา มีฉากหลังเต็มไปด้วยต้นกระบองเพชรและทะเล ทะเล๊ ทะเล  และด้วยความซุ่มซ่ามของจ๋าที่เป็นคนไม่ค่อยเคยขับรถในต่างจังหวัด ก็เลยขับรถพ้นขอบถนนราดยางลงไปถึงส่วนที่เป็นดินลูกรัง พอตอนถอยรถกลับขึ้นมานั่นแหละ อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงครืดๆๆๆ โอ้พระเจ้า ตายแล้ว แผ่นพลาสติกใต้รถดันหลุดตกลงมาอ่ะ   อิๆ แต่ไม่เป็นไร ให้รู้ซะก่อนว่า เรามากับใคร  Maritza เธอเป็นเนตรนารีตัวจริง เธอยืนคิดอยู่ซักพักแล้วก็พูดขึ้นว่า ถ้าเอาเชือกมาผูกแผ่นนี้กลับขึ้นไปก็น่าจะได้  แล้วคุณตั้ว เพื่อนร่วมทริปอีกท่านก็เลยต้องเสียสละเชือกรองเท้าเอามาซ่อมรถ แล้วพวกเราก็ขับรถกันไปต่อได้อย่างสบายใจ ฮูเร่!!!  เส้นทางถนนหลังจากนั้นคือ เป็นการขับลงเขาไปทางถนนลูกรัง เหมือนขับเข้าไปใน "สวนวงกตกระบองเพชร" มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นกระบองเพชร และบางต้นก็มีดอกไม้สีแดงๆ ขึ้นมาพันอยู่เต็มต้นกระบองเพชรเลย แต่งแต้มสีสันให้กับ "ทะเลทรายจรดทะเล" แห่งนี้  ในที่สุด พวกเราก็ขับพ้นสวนวงกตและมาถึงขายหาด Saltito จนได้  (เส้นทางในสวนวงกต ไม่ยากนะคะ มีถนนอยู่เส้นเดียว ขับไม่หลงจ้ะ) ชายหาด Saltito กว้างพอสมควร  ช่วงเย็นๆ ก็มีผู้คนอยู่บ้าง แต่ตอนกลางคืน พวกเราก็เป็นกลุ่มเดียวอีก (หลายคนถามว่า ไม่กลัวหรอไปแคมปิ้งอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครรู้เรื่องเลย คือ Maritza บอกว่า ที่นี่สงบมาก ไม่เคยมีเรื่องไม่ดีอะไร แล้วทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดี  แหะๆ)  คืนนั้น เราทำบาร์บีคิวกินกันอีก นอนดูดาว วิ่งลงน้ำดูแพลงตอนเรืองแสง  นอนดูพระจันทร์และดวงดาวค่อยๆ ลับฟ้า ก่อนที่พระอาทิตย์จะค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นมา  ฝูงนกนางนวลบินออกหาอาหาร  ก่อนที่พวกเราจะต้องเก็บเต้นท์ลง ขับรถกลับเข้าเมือง และนั่งคิดย้อนถึงช่วงเวลาอันแสนวิเศษกับธรรมชาติที่พวกเราได้มาสัมผัส ณ ชายทะเลแห่งความเงียบสงบ หรือ La Paz แห่งนี้








อุทยานแห่งชาติ Cabo Plumo  อันนี้ต้องทรหดอดทนนิดนึง อยู่ห่างจาก La Paz ประมาณ 2 ชั่วโมง และถนนไม่ดีมากๆ ควรเช่ารถ SUV หรือจี๊ฟ  พวกเราจ้างแท็กซี่ไป สุดท้ายแท็กซี่เสียด้วย แต่โชคดีเสียตอนถึงเมืองแล้ว สงสารคนขับแท็กซี่มากๆ  แต่ก็นะ ด้วยความที่ไปยากมาก ธรรมชาติจึงบริสุทธิ์มากๆ  พวกเราเดินเลียบชายหาดที่ด้านนึงเป็นทะเล อีกด้านนึงเป็นหน้าผาหินแดง เหมือนภูเขาที่เห็นในทะเลทราย  ทำให้เรารู้สึกตัวเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่  พวกเราไปนั่งปิคนิคกินไก่ย่างกันอยู่บนเชิงหน้าผา รอดูปลาฉลามที่ Maritza บอกว่า บางทีก็จะได้เห็น แต่วันนั้นไม่ได้เห็นนะจ้ะ  แต่แค่วิวทะเล ภูเขา ท้องฟ้า อย่างนี้ก็คุ้มสุดๆ แล้ว  พวกเราไป snorkel กันด้วย แต่ไม่ค่อยเห็นอะไร คงต้องมีเวลามากกว่านี้























Monday, September 2, 2013

เม็กซิโกซิตี้...สีเขียว

เม็กซิโกซิตี้เป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ มีประชากรกว่า 21 ล้านคน จึงมีปัญหามลพิษทางอากาศและปัญหาการจราจรติดขัดให้น่าปวดหัวไม่แพ้เมืองใหญ่ใดๆ ในโลก

อย่างไรก็ดี เม็กซิโกซิตี้ก็มีโครงการที่น่าสนใจหลายโครงการที่อาจจะเป็นไอเดียใหม่ๆ ให้กับกรุงเทพมหานครของพวกเราได้บ้าง

1. "บริษัทกับสวนหน้าบ้าน"   กฎหมายเม็กซิโกได้บังคับให้บริษัทดูแลพื้นที่สีเขียว เช่น เกาะกลางถนน ซึ่งอยู่ตรงหน้าตึกออฟฟิศของตัวเอง โดยบริษัทที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่สีเขียวดังกล่าวก็จะมีสิทธิได้ตดป้ายโฆษณาชื่อบริษัทของตัวเองบนเกาะกลางถนนนั้น ...อีกหนึ่งแนวทางของ Corporate Social Responsability ที่น่าสนใจ  น่าจะเหมาะกับถนนสาทร สีลม รัชดา เป็นต้น 



2. "ระบบรถเมล์ช่องทางพิเศษ Metrobus" ในลักษณะเดียวกับเมืองต้นแบบ Bogota ของโคลัมเบีย และ Curitiba ของบราซิล เม็กซิโกซิตี้ได้เริ่มใช้ระบบรถเมล์ด่วนนี้ในปี 2005 โดยรถเมล์จะวิ่งในช่องทางพิเศษของตน ในเส้นทางสายหลักของเมือง  มีสถานีจุดเชื่อมต่อ และห้ามรถเมล์เล็กไปวิ่งในเลนของ Metrobus ซึ่งหลังจากที่ดำเนินการมากว่า 10 ปี ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  ...จำได้ว่าสมัยอยู่มัธยมก็เคยเห็นเหมือนว่าจะมีการสร้างระบบรถเมล์ช่องพิเศษบนถนนลาดพร้าว เห็นถึงว่ามีการสร้างาสะพานลอยใหม่ ป้ายรถเมล์ใหม่ที่เกาะกลางถนนแล้วนะ  แล้วทำไมสุดท้ายโครงการก็เหมือนหยุดไปเฉยๆ ได้อนุสาวรีย์ปูนเพิ่มขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งอันแทน....  ในตอนนี้บ้านเราก็เร่งสร้างรถลอยฟ้า รถใต้ดินเพิ่มขึ้นกันอยู่ ซึ่งก็คงยังไม่เพียงพอ  จึงน่าจะคิดสร้างรถเมล์หรือรถรางบนดินเพิ่มขึ้นอีกชั้นด้วย ก็น่าจะดี

                                                                                          Cr: เว็บไซต์ Televisa

3. "จักรยาน ขี่ถึงไหน จอดที่นั่น"  เหมือนในเมืองในยุโรปหลายเมือง ต้นฉบับส่งตรงมาจาก Amsterdam  ขณะนี้ ระบบจักรยานสาธารณะก็ได้มาถึงเม็กซิโกซิตี้แล้ว  เพียงสมัครเป็นสมาชิก EcoBici ฟรี! คุณก็สามารถจับจักรยานจากสถานีไหนก็ได้ในเมือง แล้วก็ขี่ไปจอดที่สถานีไหนก็ได้เช่นกัน  อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีจักรยานแล้ว แต่เส้นทางจักรยานในเมืองเม็กซิโกซิตี้ก็ยังขาดแคลนอยู่มากนัก ทำให้คนขี่จักรยานไม่แข็งแรงอย่างเรา ยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเปลี่ยนไปเป็น Generation Walk กับเค้า (ไม่แน่ใจว่ารู้จักคำว่า Generation Walk กันมั้ย สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ รายการ วัฒนธรรมชุบแป้งทอด ตอน "Generation Walk" ;) )   ... ไม่แน่ใจว่า ไอเดียนี้จะเหมาะกับเมืองไทยที่มีอากาศร้อน แสงแดดแจดจ้าหรือไม่ แต่ก็เริ่มเห็นมีคนนิยมมาขี่่จักรยานกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน คิดว่า น่าจะเหมาะหากบางเขตจะลองทำในพื้นที่ของตนที่ไม่ใช่ถนนใหญ่  เช่น โชคชัย 4  น่าจะลองทำเลนจักรยานให้คนได้ขี่ิไปตลาด ไปกินข้าว ไปร้านกาแฟ ไปซูเปอร์มาเก็ต กันได้ในละแวกใกล้ๆ



4. "จักรยานสีแดง...วันอาทิตย์"  ทุกวันอาทิตย์ ถนนสายหลักของเมือง Paseo de la Reforma (อารมณ์เดียวกับถนนราชดำเนิน) จะถูกเปลี่ยนจากถนนรถยนต์ กลายเป็นทุ่งจักรยานและถนนคนเดิน ตั้งแต่เวลา 8.00 - 14.00 น. การได้ปั่นจักรยานบนถนนกว้างกว่า 8 เลน ชื่นชมอนุสาวรีย์และตึกอาคารเก่าแก่ที่สวยงามไปตลอดทาง มันช่างเป็นห้วงเวลาที่สงบ สุข และผ่อนคลายจริงๆ 

                    Cr: Ciudadmexico.com.mx

5. "มีรถก็ไม่ใช่ว่าวิ่งได้ทุกวัน" มาตรการในการแก้ปัญหาจราจรทางหนึ่งของเม็กซิโกซิตี้ คือการห้ามรถบางประเภทวิ่งในบางวัน  โดยแบ่งตามอายุของรถ เช่น รถที่มีอายุมากกว่า 8 ปี ห้ามวิ่งในวันพุธ เป็นต้น   ไอเดียนี้ดีมั้ย?




Wednesday, August 7, 2013

แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวในเม็กซิโก

วันนี้ขอทำตัวเป็นไกด์ Lonely Planet แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวในเม็กซิโก ตามจำนวนวันที่นักท่องเที่ยวมี

1. เม็กซิโกใน 3 วัน

บางคนวางแผนท่องเที่ยวสไตล์ Combo "สหรัฐอเมริกา + เม็กซิโก"  จึงมีวันที่เจียดมาให้เม็กซิโกได้เพียง 3-4 วัน ในสถานการณ์เช่นนี้ คงจะต้องเลือกแล้วระหว่าง "เม็กซิโกซิตี้" หรือ " แคนคูน/ ทะเลแคริบเบียน" (จะเก็บเธอไว้สองคนคงไม่ได้...แป๊ก!) หากคุณสนใจด้านวัฒนธรรม อยากสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของคนเม็กซิกันจริงๆ ก็จะต้องมาเม็กซิโกซิตี้  แต่หากทะเลสีฟ้า หาดทรายสีขาว น้ำทะเลใสๆ คือสิ่งที่คุณโหยหา ก็จองตั๋วเครื่องบินจากแอล.เอ. ตรงไปที่แคนคูนได้เลยจ้า :D

2. เม็กซิโกใน 7 วัน

ก็คือรวมเม็กซิโกซิตี้และแคนคูนเข้าด้วยกัน จะได้ทั้งท่องวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่สวยงามของเม็กซิโกอย่างเต็มอิ่ม มักมีไฟลท์บินตรงจากสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปไปที่แคนคูน เพราะฉะนั้น จะเที่ยวเม็กซิโกซิตี้ ต่อด้วยแคนคูน หรือแคนคูนต่อด้วยเม็กซิโกซิตี้ก็ได้จ้า  แต่ส่วนตัว คิดว่า เที่ยวเมือง ใช้กำลังขาและสมองเยอะ แล้วค่อยมาชิลล์ต่อที่แคนคูนน่าจะลงตัวกว่า

3. เม็กซิโกมากกว่า 7 วัน
เม็กซิโกกับเมืองไทยมีความคล้ายคลึงกันในความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยวทั้งทางด้านวัฒนธรรมและธรรมชาติ  ดังนั้น ถ้าคุณมีเวลามากกว่า 7 วัน อาจพิจารณาเพิ่มเติมสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีก เช่น
- Oaxaca  เมือง Oaxaca มีความสวยงามสไตล์โคโลเนียล และไม่ไกลจากตัวเมือง ก็จะมีพีระมิด Monte Alban เป็นพีระมิดรุ่นแรกๆ ในภูมิภาคอเมริกากลาง มีบ่อน้ำแร่ร้อน Hierve el Agua  น้ำตก Santiago de Apoala

- Chiapas สามารถเป็นทริปต่อจากแคนคูนได้ นั่งรถบัสต่อไปประมาณ 1 คืน หรือนั่งเครื่องบินก็น่าจะได้ เป็นพื้นที่ป่าชื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพีระมิด เช่น Palenque ซึ่งให้บรรยากาศการผจญภัยเหมือนอยู่ในเกมส์ Tomb Raider เมืองโคโลเนียล San Cristobal de las Casas หุบผาแคนยอน Sumidero ทะเลสาบ Montebello
สถานที่ท่องเที่ยวใน Chiapas ค่อนข้างห่างไกล จึงต้องมีเวลามากพอสมควร

-  เมืองอื่นๆ ใกล้เม็กซิโกซิตี้ เช่น Guanajuato  Puebla  Guadalajara ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวทางภาคเหนือของเม็กซิโก ผู้เขียนยังไม่ค่อยได้ไปสำรวจมาก จึงยังขอไม่เขียนถึง ณ ที่นี้ นะคะ

สำหรับวันนี้ ขอให้เป็นน้ำจิ้มเท่านี้ก่อนนะคะ พร้อมรูปภาพสวยๆ จากช่างภาพฝีมือฉมังประจำกรุงเม็กซิโก แล้วจะมาเล่าเจาะลึกการผจญภัยในแต่ละสถานที่ในวันต่อๆ ไปนะคะ

ณ จตุรัส Zocalo ใจกลางกรุงเม็กซิโก และวิววิหาร Cathedral Metropolitana 
ที่เม็กซิโกก็มีตุ๊กตุ๊กไว้บริการนักท่องเที่ยวเหมือนกัน
                           Photo by Po-Ngern Rattanachote




ณ อุทยานทางทะเล Sian Ka'an ไม่ไกลจาก Cancun 
สถานที่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่มันคือ...สวรรค์บนดิน 
                                               Photo by NailaFasai


Thursday, July 25, 2013

เม็กซิโก...มายังไง

                                                                                                                              ที่มา World Factbook

เม็กซิโกอยู่ใต้เมืองลอสแอนเจอลิส สหรัฐอเมริกามานิดเดียว แต่ที่ลอสแอนเจอลิส มีคนไทยอยู่ประมาณ 200,000 คน (จนคนพูดกันว่าเป็นจังหวัดที่ 78 ของไทย) แต่เม็กซิโกมีคนไทยอยู่ไม่เกิน 100 คนได้  จำนวนนักท่องเที่ยวคงไม่ต้องพูดถึง ไม่แน่ใจว่าในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางมาเยือนเม็กซิโกถึง 1,000 คน หรือไม่ (ในขณะที่ชาวเม็กซิกันเดินทางไปเที่ยวประเทศไทยประมาณปีละ 10,000 คน ...ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากอยู่ดี)

ระยะทางคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ใครๆ หลายๆ คนถอดใจ มองข้ามเม็กซิโก ไป แต่จริงๆ แล้ว เม็กซิโกไม่ได้ไกลอย่างที่คิดเลย...แค่หลับ 2 ตื่น ก็ถึงแล้ว (คิดบวก)

เรามาดูกันดีกว่าว่า มาเม็กซิโก...เค้ามากันยังไง

ก็ต้องมาด้วยเครื่องบินสิ จะบินผ่านสหรัฐอเมริกา หรือผ่านยุโรป ก็ได้ ก็จะมาถึงเม็กซิโกที่อยู่อีกฟากของลูกโลกพอดิบพอดี ข้อดีของเส้นทางที่บินผ่านสหรัฐอเมริกา (เช่น กรุงเทพฯ-โตเกียว-ลอสแอนเจอลิส-เม็กซิโก) คือ โดยทั่วไป ราคาตั๋วเครื่องบินจะถูกกว่า (เช่น Cathay Pacific KoreanAir China Airlines) แต่ข้อเสีย คือ ความวุ่นวายซับซ้อนของการเปลี่ยนเครื่องที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งหลายคนบ่นอุบไปตามๆ กัน
หากเดินทางผ่านยุโรป (เช่น กรุงเทพฯ-แฟรงเฟิร์ต-เม็กซิโกซิตี้) ข้อดี คือ เปลี่ยนเครื่องแค่ครั้งเดียว ขั้นตอนกระบวนการที่สนามบินไม่ยุ่งยากน่าปวดหัวเหมือนที่สหรัฐอเมริกา แต่ข้อเสียก็คือ ราคามาตรฐานยุโรป คือแพงนั่นเอง

อีกทางเลือกหนึ่ง คือ สายการบินแห่งชาติของเม็กซิโกชื่อ AeroMexico ซึ่งมีเที่ยวบินตรงจากโตเกียว และเซี่ยงไฮ้ แต่ราคาค่อนข้างแพงอยู่เหมือนกัน และเครื่องก็ค่อนข้างเก่าพอสมควร...

ราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ต่ำสุดที่เคยเห็นจาก www.cheaptickets.com  คือ ประมาณ 42,000 บาท จริงๆ ก็ไม่ต่างจากราคาตั๋วไปยุโรปเท่าไหร่เลยนา และถ้ามาคิดรวมกับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะต้องใช้ในเม็กซิโกแล้ว สุดท้ายงบท่องเที่ยวเม็กซิโกอาจจะถูกกว่าการเดินทางไปท่องเที่ยวยุโรปอีกก็เป็นได้ (พยายามขายทัวร์สุดๆ)

ขอแถมเรื่องวีซ่านิดนึงว่า สำหรับคนไทย หากมีวีซ่าอเมริกาแล้ว ก็สามารถเดินทางเข้าเม็กซิโกได้เลย โดยไม่ต้องขอวีซ่าเม็กซิกันอีก ดังนั้น หากท่านจะเดินทางผ่านสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว ก็ขอวีซ่าอเมริกาเพียงอย่างเดียว แล้วก็บินลัดฟ้า (มาหารัก) ที่เม็กซิโกได้เลย แต่หากท่านบินผ่านยุโรป ก็จะต้องขอวีซ่าเม็กซิโก (แนะนำให้บินผ่านสนามบินแฟรงเฟิร์ต เนื่องจากคนไทยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า transit ของเยอรมัน)

มีตั๋วและวีซ่าพร้อมแล้ว รัดเข็มขัด...ลัดฟ้าสู่เม็กซิโก กันได้เลย!  .........ZzzZZzzZZzzzz....................ZZZzzzZZzzzzz........   ใช้เวลาบินทั้งหมดประมาณ 23-30 ชั่วโมง บอกแล้ว...แค่นอนสองตื่น ก็ถึงเม็กซิโกแล้ว! =D










Saturday, August 4, 2012

Museum of Anthropology ภาค 1 - Teotihuacan

คุณรู้หรือไม่ว่า กรุงเม็กซิโกมีพิพิธภัณฑ์ถึงกว่า 150 แห่ง ถือเป็นเมืองที่มีจำนวนพิพิธภัณฑ์มากเป็นอันดับสองของโลก รองจากปารีสเพียงเท่านั้น

วันอาทิตย์อากาศดีๆ แถมพิพิธภัณฑ์เข้าฟรี เลยต้องถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนพิพิธภัณฑ์ชื่อดังของเม็กซิโกซะหน่อย

พิพิธภัณฑ์มนุษยวิทยาแห่งชาติของเม็กซิโก (National Museum of Anthropology) ตั้งอยู่ตรงข้ามสวนสาธารณะหลักของเมือง Chapultepec และก็ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียวอื่นๆ อีก บรรยากาศเหมาะกับการพาครอบครัวมาพักผ่อนวันอาทิตย์แบบชิวล์ๆ มาก




เมื่อเดินเข้าสู่ห้องโถงทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ แหงนมองไปรอบตัวก็จะพบกับข้อความสลักบนฝาผนังที่อ่านแล้วก็คิดว่านี่แหละคือความสำคัญของประวัติศาสตร์ และการมีพิพิธภัณฑ์ดีๆ แบบนี้ไว้สอนประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลัง (แต่ก็ต้องสอนแบบถูกต้องด้วยเนอะ แบบถูกต้องคืออย่างไร อันนี้คงโต้วาทีกันได้อีกนานนน ;) )

"El pueblo mexicano levanta este monumento en honor de las admirables culturas que florecieron durante la era precolumbiana en regiones que son ahora territorio de la Republica.
Frente a los testimonios de aquellas culturas, el Mexico de hoy rinde homenaje al Mexico indigena en cuyo ejemplo reconoce caracteristicas esenciales de su originalidad nacional"
ชาวเม็กซิกันได้สร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อารยธรรมซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองในดินแดนนี้ ก่อนยุคการเข้ามาของสเปน ชาวเม็กซิกันยุคปัจจุบันขอแสดงความเคารพแด่ "เม็กซิโกในอดีต" สำหรับมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้ถ่ายทอดให้มาและช่วยสร้างเอกลักษณ์ประจำชาติให้กับ "เม็กซิโกยุคปัจจุบัน"

อีกผนังหนึ่งเขียนไว้ว่า 
"Valor y Confianza ante el porvenir hallan los pueblos en la grandeza de su pasado mexicano. Contemplate en el espejo de esa grandeza comprueba aqui extranjero la unidad del destino humano. Pasan las civilizaciones pero en los hombres quedara siempre la gloria de que otros hombres haya luchado para erigirlas."
"ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในอดีตคือ พลังสำคัญในการสร้างความกล้าหาญและความเชื่อมั่นให้กับมนุษย์ต่ออนาคตข้างหน้า อารยธรรมต่างๆ มีเกิดก็มีดับสลับกันไป แต่ความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในอดีตที่ได้ทุ่มเทสร้างอารยธรรมเหล่านั้นขึ้นมา จะอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยเสมอไป"


พิพิธภัณฑ์สร้างเป็นตึกสองชั้นเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผินผ้า ตรงกลางเป็นลานโล่งให้คนนั่งพักผ่อนได้ หากจะดูทุกห้อง คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันเต็มๆ  วันนี้จึงขอเลือกเข้าห้องที่สำคัญที่สุด ๓ ห้องเท่านั้น ที่จัดแสดง 3 อารยธรรมดั้งเดิมหลักในดินแดนเม็กซิโก ก่อนการเข้ามาของสเปน นั่นก็คือ Teotihuacan  Aztec และ Maya

Teotihuacan 
เป็นเมืองที่เฟื่องฟูในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1-7 ตั้งอยู่ประมาณ 48 กม. ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเม็กซิโก  ปัจจุบันเป็นสถานที่ทางโบราณคดีและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเม็กซิโก มีสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ที่เป็นรู้จักกันดี คือ พิระมิดพระอาทิตย์และพิระมิดพระจันทร์ โดยในพิพิธภัณฑ์ฯ เค้าได้มีการจำลองเมือง Teotihuacan มาไว้ในสวนข้างๆพิพิธภัณฑ์ด้วย
  (สำหรับรูปสถานที่จริง คลิ้กลิงค์นี้ได้เลยจ้า  http://en.wikipedia.org/wiki/Teotihuacan)

พิระมิดพระอาทิตย์ถือเป็นพิระมิดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากพิระมิด Giza ของอียิปต์ และพีระมิด Cholula ซึ่งอยู่ในเม็กซิโกเหมือนกัน  แปลกที่อยู่กันไกลโพ้น ระหว่างแอฟริกากับอเมริกา แต่มนุษย์ก็มีจินตนาการคล้ายๆ กันและมีแรงศรัทธาสูงส่งเหมือนกันที่จะสร้างสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์เช่นนี้สำหรับพระเจ้าหรือกษัตริย์ซึ่งก็มักได้รับการเคารพบูชาเปรียบเสมือนพระเจ้า จริงๆ แล้ว ถ้าดูสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ต่างๆ ในโลก หรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนาของเกือบทุกศาสนา ก็มักจะมีลักษณะคล้ายกันคือสร้างในทรงทยานพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นพีระมิด ปราสาทนครวัด วัด โบสถ์ ดูเสมือนว่ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์และทุกยุคทุกสมัยต่างมองหาที่พึ่งที่มองไม่เห็น อยากเอื้อมให้ถึงขอบฟ้าที่กว้างใหญ่และสวยงามเบื้องบน ... ความฝันและศรัทธาอันแรงกล้าคือพลังสำคัญที่ทำให้มนุษย์ตัวเล็กๆ สร้างสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ...

ทำไมต้องชื่อ Pyramid of the Sun และ Pyramid of the Moon ยิ่งอ่านคำอธิบายต่างๆ ก็ยิ่งงง เว็บไซต์นึงบอกว่าเป็นชื่อที่ชาว Aztec ที่มาค้นพบพิระมิดทีหลังตั้งชื่อให้ แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนเมือง Teotihuacan เรียกว่าอะไร อีกเว็บไซต์บอกเป็นเพราะ Pyramid of the Sun ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่พระอาทิตย์จะอยู่ตรงบนศรีษะพอดีเวลาเที่ยง พิระมิดนี้สร้างไว้เพื่ออะไร ก็ดูเหมือนจะงงๆ กันว่า สร้างเพื่อบูชาพระเจ้า หรือสร้างเพื่อเป็นหลุมฝังศพของบุคคลสำคัญ อีกแหล่งก็บอกว่า ตำแหน่งที่ Pyramid of the Sun ตั้งอยู่ ข้างใต้เป็นถ้ำซึ่งคนสมัยโบราณเชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่งในโลก

แต่ที่แน่ๆ คือ สถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ปัจจุบันหลายคนเชื่อว่ามีพลังพิเศษ นักท่องเที่ยวไทยที่มาเม็กซิโกก็มักนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวที่สถานที่นี้ และยอมออกแรงเหนื่อยปีนขึ้นสู่ยอดของพีระมิดเพื่อรับพลังจากเบื้องบน


ภาพนี้คือ พระเจ้าพระอาทิตย์ (The Sun God) แลบลิ้น แสดงความกระหายเลือดมนุษย์
ทำไมในอดีต มนุษย์เกือบทุกเผ่าพันธ์ (อีกแล้ว... ยังดีที่ไม่ใช่ทุกยุคทุกสมัยด้วย เพราะสมัยนี้ แทบไม่มีแล้ว) มักมีความเชื่อว่าต้องสังเวยชีวิตมนุษย์ด้วยกันเพื่อถวายบูชาแด่พระเจ้า มีหลายคำอธิบาย บ้างก็บอกว่า เป็นเหตุผลทางศาสนา เพราะมนุษย์เชื่อว่าจะต้องสังเวยชีวิต เพื่อเอาใจพระเจ้าที่จะช่วยปกป้องดูแลมนุษย์ต่อไป เหมือนทุกสรรพสิ่งในโลกที่จะต้องตายเพื่อเกิดใหม่ แต่ทำไมการตายโดยธรรมชาติไม่เพียงพอหรือ โชคดีที่ต่อมา ดูเหมือนศาสนายุคใหม่ จะมีแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปในเรื่องนี้  คำอธิบายอื่น ก็บอกว่า ผู้ปกครองใช้พิธีสังเวยชีวิตมนุษย์นี้เพื่อทำให้ผู้อยู่ใต้ปกครองเกรงกลัว หรือเพราะจำนวนประชากรมากไปแล้ว เลยต้องหาวิธีลดจำนวนประชากร ...ขนาดนั้นเลยหรือ....

Quetzalcoatl พระเจ้า "งูขนนก" (Feathered Serpent)

ตอนแรกแปลว่า พระเจ้างูขน แต่ฟังแล้วแทม่งๆ เลยคิดว่าเติมคำว่า "นก" เข้าไปหน่อยดีกว่า ฟังดูดีขึ้นนิดนึง แต่ถ้าใครมีคำแปลที่เพราะกว่านี้ ช่วยบอกมาด้วยนะคะ


ภาพแรกเป็นรูปภาพ "งูขนนก" ของจริงที่ Teotihuacan ส่วนรูปที่สองเป็นผนังจำลองของวัด "งูขนนก" (Feathered Serpent Temple) ซึ่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ฯ ชอบที่พิพิธภัณฑ์เค้ามีวิธีการจัดแสดงหลายรูปแบบมาก มีทั้งการจำลองสถานที่ ทั้งภายในพิพิธภํณฑ์เอง และในสวนข้างๆ มีห้องฉายวิดีโอหลบอยู่หลังผนังวัด "งูขนนก" นี้ มีการใช้เทคนิคแสงสีเสียงดิจิตอลต่างๆ ที่ทำให้การเดินชมพิพิธภัณฑ์เพลิดเพลินมาก

กลับมาเข้าเรื่อง "งูขนนก" ต่อ  ทางทิศใต้ของ Teotihuacan จะเป็นที่ตั้งของวัด "งูขนนก" (Temple of Feathered Serpent) แสดงให้เห็นความสำคัญของพระเจ้าองค์นี้ในยุคของ Teotihuacan และยุคต่อๆ มา ทั้งในอารยธรรม Aztec และ Maya มีหลายคำอธิบายอีกแล้วว่า งูขนนก คือ พระเจ้าอะไร แต่คำอธิบายที่ชอบที่สุด คือ ที่บอกว่า งูขนนก เป็นเสมือนผู้เชื่อมพรมแดนระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ เนื่องจากงูเป็นสัตว์บนโลก แต่พอมีขนนกก็จะสามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าสวรรค์เบื้องบนได้ และเป็นพระเจ้าผู้สร้างมนุษยชาตินั่นเอง

อีกครั้นหนึ่งแล้ว ที่จะสังเกตได้ถึงความเชื่อที่ดูเหมือนจะเป็นสากลในหลายอารยธรรมโบราณ คือ งูขนนก ดูไปดูมาก็คล้ายๆ กับมังกรของชาวตะวันออก งูเป็นสัตว์ที่มักจะได้รับการเคารพบูชาในอารยธรรมต่างๆ อาจจะเป็นเพราะความน่าเกรงขามของมัน และมนุษย์ก็มักหาวิธีแต่งเติมจินตนาการเข้าไปทำให้งูสามารถบินขึ้นสู่สวรรค์ได้ อย่างเช่น งูขนนกหรือมังกร  หรือให้งูดำน้ำสู่โลกบาดาลซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งกำหนดของมนุษย์เหมือนกัน อย่างเช่น พญานาค ....

คราวหน้า เราจะมาต่อเรื่องอารยธรรม Aztec กัน :)....

Saturday, July 21, 2012

Culinary Tour in Mexico City

จริงๆ วันนีี้ อยากเขียนเรื่อง ถนน Reforma เพื่อให้เพื่อนๆ ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองเม็กซิโกซิตี้  แต่พอดีติดปัญหาเรื่องรูปภาพเล็กน้อย  เลยขอเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน และมาเขียนเรื่องอาหารแทน :)

ขอเริ่มจากอาหารท้องถิ่นของเม็กซิโก ก่อนจะเขียนเรื่องอาหารลูกครึ่ง เช่น ซูชิสไตล์เม็กซิกัน ในโอกาสต่อไป

Tortilla แผ่นแป้งข้าวโพดแผ่นกลมๆ ที่สามารถนำมาทำอาหารได้สารพัดรูป ถ้าพับครึ่งเป็นรูปครึ่งวงกลม ก็เรียกว่า Tacos ถ้าม้วนเป็นหลอดเหมือนปอเปี๊ยะก็เรียกว่า Flautas (แปลว่า ฟลุ้ท ชื่ออาหารช่างบ่งบอกถึงอารมณ์สุนทรีย์ของคนเม็กซิกันทีเดียว)

นำแป้ง Tortilla อุ่นบนกระทะร้อน แล้วก็เติมไส้  ซึ่งอาจจะเป็นเนื้อสับ หมูสับ ไก่สับ หรือซีฟู้ด ก็ได้แล้วแต่ชอบ บางร้านจะย่างเนื้อหมูแบบเสียบไม้หมุน เหมือน Kebab เลย ได้ผลผลิตออกมาเป็น เนื้อหมูแดงๆ รสชาติและหน้าตาคล้ายหมูแดงบ้านเรามาก พอมีเนื้อสัตว์แล้ว ก็โรยผักเข้าไปหน่อย หัวหอมใหญ่ มะเขือเทศ ผักกาด หรือผักเจ้าประจำอีกอย่างในอาหารเม็กซิกัน นั่นก็คือ อะโวคาโด นั่นเอง แล้วราดซอส ซอสแดงหรือซอสเขียวดี ถ้าเป็นซอสแดง ก็ทำจากมะเขือเทศแดง ถ้าเป็นซอสเขียว ก็ทำจากมะเขือเทศเขียวลูกเล็กๆ ซึ่งไม่เคยเห็นที่อื่นเหมือนกัน รสชาติเปรี้ยวสุดๆ เพื่อนคนไทยบางคนบอกว่า รสชาติคล้ายน้ำพริกหนุ่มบ้านเรา

                                         Tacos ที่ร้าน Villa Maria มองไม่ค่อยเห็นไส้เท่าไหร่ :(

Quesadilla คือ แป้ง tortilla ไส้ชีส (ของโปรดของเรา) เพราะ "Anything with cheese tastes good" :) นอกจากชีสแล้ว อาจใส่เนื้อสัตว์ ไส้กรอก Chorizo (ไส้กรอกเปรี้ยวๆ) หรือจะเป็นสไตล์มังสวิรัติ ใส่ผักโขมและมันฝรั่งก็ได้ ชีสที่ใช้กับ Quesadilla เรียกว่า Oaxaca cheese จากรัฐ Oaxaca ของเม็กซิโก Quesadilla ร้อนๆ กับชีสที่ละลายอยู่ข้างใน แค่นี้ก้ออิ่มเอมเปรมปรีย์แล้ว

Homemade Quesadilla with chorizo (หน้าตาหนูอาจจะดูไม่สวยเท่าไหร่ แต่หนูถูกกินหมดเกลี้ยงเลย)                                    

Homemade Quesadilla with spinach and potato

Mexican Cuisine vs. Tex-Mex?  
คนเม็กซิกันจะบอกว่า Tex-Mex ไม่ใช่อาหารเม็กซิกัน ส่วนคนที่เคยอยู่อเมริกามาก่อน ก็จะเรียกร้องหา Taco Bell และไม่พิสมัยอาหารเม็กซิกันในเม็กซิโกเท่าไหร่  มันต่างกันยังไงหนอ.... Tex-Mex มาจากคำว่า Texas-Mexican ก็คืออาหารที่กำเนิดในรัฐเท็กซัสโดยได้รับอิทธิพลจากอาหารเม็กซิกัน และโดยที่อาหาร Tex-Mex แพร่หลายไปทั่วอเมริกาและทั่วโลก (มากกว่าร้านอาหารที่มาจากเม็กซิโก) หลายคนจึงมักเข้าใจว่า Tex-Mex ก็คืออาหารเม็กซิกันนั่นแหละ ซึ่งจริงๆ อาหารสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอยู่เหมือนกัน
อาหารเม็กซิกัน จริงๆ แล้วมีมากกว่า "Tortilla ห้อไส้" มาก และมีความหลากหลายไปตามภูมิภาคต่างๆ ของเม็กซิโก ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่มาก มีภูมิประเทศทั้งทะเลทราย ภูเขา ชายทะเล และภูมิอากาศตั้งแต่หนาว ไปจนถึงร้อนชื้น  อาหารจานเด็ดอื่นๆ ของเม็กซิกัน เช่น Pollo con mole (ไก่ราดซอสช็อคโกแลต ของเมือง Puebla) และ Cochinita pibil (หมูตุ๋นของรัฐ Yucatan - อยู่ใน to-taste list :)

สำหรับเมนูที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของ Tex-Mex และไม่ได้มาจากอาหารเม็กซิกัน ก็คือ เมนูที่มากับ tortilla chips ต่างๆ เช่น Nachos (tortilla chips ราดชีส) รวมทั้ง Chile con carne และ Fajitas (เนื้อย่างผัดกับหัวหอมและพริกหยวก และเสิร์ฟกับ tortilla)

A chacun son goût!